‘แกร็บ’ ออกแถลงการณ์ เตรียมประชุมกับตัวแทนคนขับ หลังไรเดอร์ประท้วงค่าแรง

‘แกร็บ’ ออกแถลงการณ์ เตรียมประชุมกับตัวแทนคนขับ หลังไรเดอร์ประท้วงค่าแรง

แกร็บ

จากกรณีที่มีกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บบางส่วนในเขตกรุงเทพฯ ได้รวมตัวกันเพื่อยื่นข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการให้บริการและการบริหารค่าตอบแทนของพาร์ทเนอร์คนขับผู้ให้บริการจัดส่งอาหารในวันนี้ (3 พ.ย. 2565)

ล่าสุด แกร็บ ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่าบริษัทฯ ได้รับทราบถึงปัญหาและข้อเสนอแนะในประเด็นต่างๆ แล้ว และขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงเบื้องต้น ดังนี้

1) บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับทุกความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการให้บริการ ตลอดจนการบริหารงานในด้านต่างๆ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของพาร์ทเนอร์คนขับที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการผ่านช่องทางต่างๆ ในรูปแบบที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อาทิ ศูนย์ช่วยเหลือในแอป Grab Driver หรือทางโทรศัพท์ (Call Center) กลุ่มเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของแกร็บ หรือผ่านตัวแทนพาร์ทเนอร์คนขับจากโครงการ Grab Partner Club โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งรวมถึงการเปิดช่องทางพิเศษเพื่อให้พาร์ทเนอร์คนขับได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมผ่านระบบออนไลน์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมจัดประชุมกลุ่มย่อยกับตัวแทนพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนร่วมหารือถึงแนวทางในการจัดการกับประเด็นต่างๆ อย่างเหมาะสมและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น พาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านค้า รวมถึงผู้ใช้บริการ ซึ่งบริษัทฯ จะทำการสื่อสารและชี้แจงข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ให้พาร์ทเนอร์คนขับรับทราบภายใน 14 วัน

2) สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงานและการบริหารค่าตอบแทนของพาร์ทเนอร์คนขับนั้น บริษัทฯ ตระหนักดีว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและเป็นสิ่งที่พาร์ทเนอร์คนขับให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น ที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการและประกาศใช้นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าตอบแทนของพาร์ทเนอร์คนขับด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดและยังสามารถรักษาความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ โดยคำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน อาทิ จำนวนพาร์ทเนอร์คนขับในพื้นที่ จำนวนการสั่งอาหารของผู้ใช้บริการ ประสิทธิภาพในการให้บริการของพาร์ทเนอร์คนขับ เป็นต้น

โดยที่ผ่านมาระดับของอุปทานและอุปสงค์ (จำนวนพาร์ทเนอร์คนขับที่ให้บริการและจำนวนผู้ใช้บริการสั่งอาหาร) ได้ผันผวนไปตามสถานการณ์ของตลาด ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะพยายามอย่างยิ่งที่จะบริหารจัดการประเด็นดังกล่าวอย่างดีที่สุด โดยจะทบทวนมาตรการต่างๆ พร้อมพิจารณาหาแนวทางใหม่ๆ โดยคำนึงถึงการรักษาสมดุลทางธุรกิจและสร้างประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเหมาะสมที่สุด

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แกร็บ ประเทศไทย ขอยืนยันว่า เรายังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมให้คนไทยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มของเราในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิต

โดยเฉพาะพาร์ทเนอร์คนขับนับหลายแสนราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันของเราในการสร้างรายได้เสริมจากการให้บริการต่างๆ ด้วยรูปแบบการทำงานที่เป็นอิสระและมีความยืดหยุ่น

ขณะเดียวกัน เรายังคงไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาบริการและปรับปรุงแพลตฟอร์มของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบัน

อัพเดทข่าวธุรกิจ แนะนำข่าวเพิ่มเติม : เปิดลงทะเบียนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ของ อปท. เช็กเงื่อนไข-คุณสมบัติด่วน!

เปิดลงทะเบียนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ของ อปท. เช็กเงื่อนไข-คุณสมบัติด่วน!

เปิด “ลงทะเบียนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ของ อปท. ปีงบประมาณ 2567 เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.-พ.ย. 65 และเดือน ม.ค.-ก.ย. 65 เช็กคุณสมบัติด่วน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีการแจ้งให้ทุกจังหวัดซักซ้อมแนวทางการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งผู้สูงอายุที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และยังไม่เคยลงทะเบียนรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยื่นคำขอเพื่อแสดงความจำนงขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของผู้มีสิทธิ ช่วงแรกตั้งแต่เดือน ต.ค.–พ.ย. 65 และช่วงที่สองตั้งแต่เดือน ม.ค.–ก.ย. 66 ด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นเป็นผู้ยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแทน

แนวทางการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูง

กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งแนวทางการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว โดยในปีนี้ จะเปิดรับลงทะเบียน 2 ช่วง ช่วงแรกตั้งแต่เดือน ต.ค.–พ.ย. 65 และช่วงที่สองตั้งแต่เดือน ม.ค.–ก.ย. 66

สำหรับคุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

  1. ผู้สูงที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน (รายใหม่)
  2. ผู้สูงอายุที่จะมีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เกิดก่อน 2 ก.ย. 2507) ร
  3. ผู้สูงอายุที่ย้ายภูมิลำเนาเข้ามาอยู่ในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ยังไม่ได้ยื่นคำขอลงทะเบียน

ให้ยื่นคำขอลงทะเบียนขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุด้วยตนเอง หรือ อาจมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นเป็นผู้ยื่นคำขอลงทะเบียนฯ แทนได้

สำหรับผู้ซึ่งต้องขังหรือจำคุกอยู่ในเรือนจำ ทัณฑสถานหรือสถานที่คุมขังของกรมราชทัณฑ์ ให้มอบอำนาจให้ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน เจ้าหน้าที่ที่ผู้บัญชาการเรือนจำมอบหมาย หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นดำเนินการ ยื่นต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของผู้มีสิทธิ์

ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิต้องมีสัญชาติไทย และมีภูมิลำเนาในเขต อบต. หรือ เทศบาล ตามทะเบียนบ้านและไม่เป็นผู้ที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ธุรกิจ.jpg4

ขั้นตอนยื่นแบบคำขอลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

การยื่นแบบคำขอลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะต้องเตรียมเอกสารสำคัญประกอบด้วย

  1. บัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรอื่นที่มีรูปถ่ายซึ่งออกโดยหน่วยงานของรัฐ
  2. ทะเบียนบ้าน (ฉบับเจ้าบ้าน)
  3. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร สำหรับกรณีประสงค์จะขอรับเงินเบี้ยผู้สูงอายุผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร

วิธีการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุสามารถแจ้งความประสงค์วิธีการขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้นดังนี้

  1. รับเงินสดด้วยตนเอง
  2. รับเงินสดโดยบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจ
  3. โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามตนเอง
  4. โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจ

กรณีผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่แล้ว แต่มีการย้ายภูมิลำเนาไปยังเขต อบต. หรือ เทศบาล อื่น ให้ลงทะเบียนและยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีภูมิลำเนาในเขต อบต. หรือ เทศบาล แห่งใหม่ภายในพฤศจิกายน 2566

หากไม่ได้ไปลงทะเบียนตามกำหนด แต่ได้ลงทะเบียนยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพในภายหลังที่กำหนด ทาง อบต. หรือ เทศบาล แห่งใหม่จะจ่ายเงินเบี้ยยังชีพให้ในปีงบประมาณถัดไป (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568)

ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป ณ บอร์ดประชาสัมพันธ์ของ อบต. หรือ เทศบาล ที่ได้ไปลงทะเบียน หรือพื้นที่ที่ อบต. หรือ เทศบาล กำหนดไว้ และสามารถตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทั้งหมดได้ในวันที่ 29 ก.ย. 2566

กระทรวงมหาดไทยขอเรียนว่า ขณะนี้ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติอยู่ระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่จะกำหนดใหม่ หากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมีการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุที่ชัดเจน และมีผลให้กระทรวงมหาดไทยสามารถนำมากำหนดเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นใหม่แล้ว

กระทรวงมหาดไทยจะได้แจ้งแนวทางในการดำเนินการรับลงทะเบียนผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพิ่มเติม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป หากมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ อบต. หรือ เทศบาล ในพื้นที่ของท่าน

กลับมาจัดที่ไทยอีกครั้ง “งานประชุมการดูแลสุขภาพอัจฉริยะไต้หวัน-ไทย ประจำปี 2565”

กลับมาไทยอีกครั้งหลังโควิด “งานประชุมการดูแลสุขภาพอัจฉริยะไต้หวัน-ไทย ประจำปี 2565” จัดโดยโรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียน มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยมีบุคลากรสาธารณสุขไทยเข้าร่วมกว่า 250 คน

ปัจจุบันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการรักษาแบบแม่นยำได้กลายเป็นเทรนด์ระดับโลก การแพทย์อัจฉริยะ หรือ Smart Healthcare ถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะเรื่องการรักษาแบบแม่นยำ และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อมที่ประเทศไทยกำลังผลักดันเป็นอย่างมาก และเป็นศักยภาพทางการตลาดที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยประสบการณ์ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการรักษาแบบแม่นยำอันยาวนานของ ไต้หวัน

โรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียน จึงได้จัด “งานประชุมการดูแลสุขภาพอัจฉริยะไต้หวัน-ไทย ประจำปี 2565” ขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 6 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว ซึ่งนอกจากการบรรยายแล้ว ยังได้เชิญผู้ประกอบการด้านการแพทย์อัจฉริยะจากไต้หวันทั้งหมด 15 รายเข้าร่วมด้วย โดยงานประชุมในครั้งนี้ มีบุคลากรสาธารณสุขไทยมาเข้าร่วมกว่า 250 คน นับเป็นงานประชุมด้านการแพทย์อัจฉริยะระดับประเทศไทยที่จัดขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19

สำหรับงานประชุมดังกล่าว โรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียน จัดอย่างต่อเนื่องในปี 2561 และ 2562 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในทุกครั้ง กระทั่งปี 2563 ที่เกิดวิกฤติโควิด19 จึงได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดงานเป็นรูปแบบออนไลน์ โดยเน้นเนื้อหาไปที่เรื่องการป้องกันโรคระบาดด้วยระบบอัจฉริยะ ต่อมาเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มเบาบางลง โรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียนจึงได้กลับมาจัดงานที่ประเทศไทยอีกครั้ง โดยเน้นเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการรักษาแบบแม่นยำ และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม

ธุรกิจ.jpg17

โดยงานประชุมในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.นีน่า เกาเสี่ยวหลิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์ภารกิจทางการแพทย์ต่างประเทศ โรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียน, ดร.โซ่ว-ฮั่น จวง ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย, นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข, รองศาสตราจารย์ ดร.พูลพงษ์ บุญพราหมณ์ คณบดีสำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, ดร.ธีรพร สถิรอังกูร ที่ปรึกษาระดับกระทรวง ด้านการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข, ดร. จื้อ-หลง หลิน ผู้รักษาการประธาน ศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโลหะแห่งไต้หวัน และนายอวี้-จุน หลิน หัวหน้าส่วนสินค้าและอุตสาหกรรมเคมี สำนักงานพัฒนาอุตสาหกรรมไต้หวัน เป็นผู้กล่าวเปิดงาน

ดร.โซ่ว-ฮั่น จวง ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หลังวิกฤติโควิด-19 การแพทย์อัจฉริยะ การรักษาแบบแม่นยำ และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม เป็นกลยุทธ์และนโยบายทางการแพทย์ที่สำคัญของประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานประชุมฯ ในครั้งนี้จะช่วยกระชับความความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างไต้หวันและไทยมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความร่วมมือในเชิงธุรกิจในลำดับถัดไป

นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวขอบคุณ โรงพยาบาลจางฮั่วคริสเตียน ที่ได้พยายามผลักดันงานประชุมทางการแพทย์ในไทย โดยในปัจจุบันการ แพทย์อัจฉริยะ ได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างแพร่หลาย หวังว่างานในครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เข้าร่วมงานจะสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนและสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการด้านการแพทย์อัจฉริยะจาก ไต้หวัน ได้มากยิ่งขึ้น

ดร.ธีรพร สถิรอังกูร ที่ปรึกษาระดับกระทรวง ด้านการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หวังว่าหลังจากที่ไต้หวันได้ปลดล็อกมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 แล้ว หัวหน้ากรมพยาบาลจะสามารถเดินทางไปแลกเปลี่ยนและศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในการดูแลรักษาได้มากยิ่งขึ้น

หัวข้อหลักในงานประชุมครั้งนี้คือ “พลิกโฉม New Normal-การรักษาแบบแม่นยำและเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ” ซึ่งได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการใช้ Big Data และ เทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพการรักษา อีกทั้งช่วยพัฒนาการรักษาแบบแม่นยำ และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม นอกจากนี้ ภายในงานได้เชิญผู้ประกอบการ 15 ราย มาแบ่งปันการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อการรักษาแบบแม่นยำ รวมถึงสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายในงาน อาทิ เทคโนโลยี 5G, โซลูชัน AI, แพลตฟอร์มวิเคราะห์ภาพ, โซลูชันการแพทย์ทางไกล, หอผู้ป่วยอัจฉริยะ เป็นต้น นับเป็นการผสานรวมเทคโนโลยี และการแพทย์ไว้ด้วยกัน ผู้เข้าร่วมงานได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างคึกคัก ซึ่งช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ทั้งฝั่งไทยและ ไต้หวัน